วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

อัศจรรย์พลังน้ำ

อัศจรรย์พลัง น้ำ (Momypedia)

น้ำใสๆ ไม่มีรสชาติ แต่มีดีสารพัดเลยนะ

ความอัศจรรย์ของพลังน้ำที่มีกับพวกเราๆ ทุกคนนั้น เริ่มขึ้นหลังจากที่เราดื่มน้ำหรืออาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ น้ำก็จะไปถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็ก แล้วไปรวมเดินทางผจญภัยตามเซลล์ต่างๆ กับเลือดทั่วตัวของเรา

จากนั้นก็เริ่มกระจายกำลังกันออกทำหน้าที่ต่างๆ เริ่มตั้งแต่เป็นองค์ประกอบในเนื้อเยื้อและอวัยวะต่างๆ (เกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวคือน้ำ) ไปเป็นตัวทำละลายสารอาหาร ช่วยลำเลียงแร่ธาตุ วิตามิน และเลือดให้ไหลเวียนไปบำรุงหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย (ซึ่งมีไม่น้อยกว่า 75 แสนล้านเซลล์)

หนำซ้ำคุณเธอยังใจดีรับของเสียจากเซลล์ต่างๆ กลับออกมาทิ้งให้ด้วย อีกทั้งเป็นที่ช่วยควบคุม กระจาย และขับความร้อนในร่างกายให้อยู่ในภาวะปกติ ช่วยให้สดชื่นสบายตัว ไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ

นอกจากนั้นน้ำยังเป็นเหมือนน้ำมันเครื่องคอยหล่อลื่นอวัยวะภายในร่างกายต่างๆ ไม่ให้เสียดสีกัน จนชำรุดสึกหรอ และบำรุงผิวให้สวยใสไม่แห้งเหี่ยวก่อนวัยอันควร และเมื่อได้เที่ยวสนุกจนเพลินใจแล้ว น้ำซึ่งหอบของเสียกลับมาก็จะถูกขับออกจากร่างกายในรูปของเหงื่อ ลมหายใจ และปัสสาวะ ถือเป็นการสิ้นสุดทัวร์ของน้ำในร่างกายเขาล่ะ

เห็นมั้ยคะว่าน้ำสำคัญกับชีวิตและสุขภาพของเรามากเพียงไหน ฉะนั้นจะยกแก้วขึ้นดื่มน้ำคงต้องดูสักนิดว่า น้ำสะอาดหรือมีพิษภัยซ่อนอยู่บ้างหรือเปล่า (อย่าลืมสิคะว่าน้ำเป็นตัวทำละลายชั้นดี ไม่ว่าจะเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์หรือสารพิษที่มีโทษ น้ำก็ละลายมาไว้เก็บกับตัวได้ทั้งนั้น) ถ้าสุ่มสี่สุ่มห้ากินเข้าไปแบบไม่ระวัง โดนท้องไส้ตับไตประท้วงกลับเอาบ้าง แล้วจะมาบ่นทีหลังไม่ได้นะเออ...

เรื่อง "น้ำ" น่ารู้

. ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วต่อวัน

. อย่ารอให้รู้สึกกระหายน้ำก่อนถึงจะหาน้ำเย็นๆ มาดื่ม เพราะนั่นแสดงว่าร่างกายสูญเสียน้ำไปแล้วประมาณ 2-3 แก้ว ทางที่ดีควรขยันจิบน้ำไปเรื่อยๆ ทั้งวันจะดีกว่า

. พยายามเลี่ยงการดื่ม กาแฟ ชา น้ำอัดลม ซึ่งมีคาเฟอีนและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะคาเฟอีนและแอลกอฮอล์จะไปกระตุ้นการขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายเสียน้ำมากขึ้น

. น้ำเย็นจะซึมเข้าสู่ร่างกายได้เร็วและช่วยดับร้อนได้ดีกว่าน้ำอุ่น

. ร่างกายของเราไม่สามารถเก็บน้ำไว้ใช้ได้ เราจึงต้องดื่มน้ำเป็นประจำ ถ้าร่างกายได้รับน้ำไม่พอก็จะเกิดภาวะขาดน้ำ อ่อนเพลีย หน้ามืด หรือช็อคหมดสติเป็นอันตรายได้

. การดื่มน้ำมากๆ ช่วยให้ไตไม่ต้องทำงานหนักมาก เนื่องจากน้ำจะช่วยให้ไตสามารถขับของเสียออกมาได้ดีขึ้น

. อย่าลืมเริ่มต้นวันใหม่และอำลาวันเก่าอย่างสดชื่นด้วยน้ำเปล่า 1 แก้วเป็นประจำทุกวัน

12 เทคนิคกันสมองเหี่ยว

เรื่องของการปลุกระดมสมองให้สดชื่นแจ่มใสเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ต้องการ เพราะเมื่อสมองแจ่มใส ปลอดโปร่ง อะไรก็ดีตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น การฟัง พูด อ่าน เขียน จดจำ หรือความคิด

กลับกัน หากสมองเหี่ยว ฝ่อ ไม่สดใส อาจจะเกิดจากความเครียด หรือการหมกมุ่นกันเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานๆ หรือ ขาดการพักผ่อน ทักษะดังกล่าวก็จะลดน้อยถอยไป กรรมวิธีที่จะทำให้สมองแข็งแรงไปอย่างยืนยาวนั้น สถาบันดีสปายน์ไคโรแพรคติก เทคนิคมาแนะนำ

1. ดื่มน้ำให้พอ เพราะสมองของคนเราประกอบด้วยน้ำถึง 85% ดังนั้นเมื่อร่างกายขาดน้ำ สมอง ก็จะทำงานช้าลง ทำให้กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดอะไรไม่ค่อยออก

แต่การดื่มน้ำนั้นแต่ละคนจะมีความต้องการน้ำไม่เท่ากันขึ้นอยู่กันน้ำหนัก และพฤติกรรมต่างๆ ทั้งการเคลื่อนไหว และการบริโภค แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำวันละ 3-5 ลิตร ส่วนเด็ก 2-3 ลิตร

2. หายใจลึกๆ ช่วยส่งพลังงานไปถึงสมอง ถ้านั่งหายใจ หลังก็ควรจะตั้งตรง จะช่วยให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น และถ้านั่งนานเนไปควรเปลี่ยนอิริยาบถ ยืดเส้น ยืดสาย เพื่อให้ปอดขยาย

3. เลือกรับประทานอาหาร ที่มีไขมันดีทดแทนไขมันในสมองที่สึกหรอ อาทิ น้ำมันปลา สารสกัดจากใบแปะก๊วย ปลาแซลมอน อีฟนิ่งพริมโรส วิตามินซี

4. ตั้งโปรแกรมให้สมอง โดยใช้ความตั้งมั่นตั้งใจอย่างจริงจัง สมองจะค่อยๆ ปรับพฤติกรรมให้ไปสู่เป้าหมายได้

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ไปกระตุ้นพลังออร่าให้สว่างสดใสจะช่วยดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

6. ฝึกสมาธิพัฒนาอารมณ์ ให้สมองผ่อนคลาย จะช่วยทำให้มีจินตนาการมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำได้ทั้งตื่นเช้าหรือก่อนนอนทุกวัน

7. ออกกำลังกาย กระตุ้นการทำงานของสมองพร้อมกับดื่มน้ำบ่อยๆ

8. หาอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิต เช่น รู้จักคนใหม่ๆ อ่านหนังสือเล่มใหม่ ขับรถเส้นทางใหม่ หรือแลกเปลี่ยนทัศนคติใหม่ๆ กับเพื่อน สมองจะหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นดอร์ฟิน) และสารแห่งการเรียนรู้ โดปามีน ทำให้เกิดการอยากเรียนรู้อย่างมีความสุข

9. รู้จักให้อภัยและลดความโกรธ จะทำให้สูญเสียพลังงานน้อยลง และยังเป็นการช่วยลดภาระให้กับสมอง

10. พูดเรื่องดีๆ กับตัวเองซ้ำๆ ให้เกินวันละ 100 ครั้ง

11. บันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันลงในสมุดบันทึก ช่วยทำให้สมองคิดในเชิงบวก ทำให้หลับฝันดี มีสมาธิ

12. พักผ่อนให้เพียงพอ โดยช่วงเวลา 21.00 น. จะเป็นช่วงเวลานอนที่ดีที่สุด

เรื่องนี้ไม่ใช่เหมาะสำหรับเด็ก แต่เป็นเรื่องที่ทุกเพศ ทุกวัยสามารถปฏิบัติได้เป็นการยืดอายุสมอง ให้อยู่กับเราไปได้นานเท่านาน!!

มะนาว ลดคอเลสเตอรอลป้องกันโรคหลอดเลือด

มะนาว (lime) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Citrus aurantifolia Swing
วงศ์ส้มหรือ Rutaceae
ชื่ออื่นคือ ส้มมะนาว มะลิว โกรยชะม้า หมากฟ้า

มะนาวเป็นไม้ผลชนิดหนึ่ง เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ทรงพุ่มเตี้ย สูงเต็มที่ราว 5 เมตร ก้านมีหนามเล็กน้อย ก้านใบสั้น ใบเรียงสลับกลมรีสีเขียวเข้ม ขอบใบหยักเล็กน้อย โคนและปลายใบมน ดอกขนาดเล็กมี 5 กลีบสีขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อนๆ

ผลมะนาวมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4-4.5 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่จะมีสีเหลือง เปลือกบาง ภายในมีเนื้อแบ่งกลีบๆ ชุ่มน้ำมาก น้ำคั้นผลมีรสเปรี้ยวจัด

ปกติจะมีดอกผลตลอดทั้งปี แต่ติดผลน้อยในช่วงหน้าแล้งและผลที่ได้จะมีน้ำน้อย เปลือกผลมีน้ำมัน มีกลิ่นหอมแต่มีรสขม

มะนาวนับเป็นผลไม้ที่มีคุณค่า นิยมใช้เป็นเครื่องปรุงรส นอกจากนี้ยังถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการและทางการแพทย์ด้วย

มะนาวเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คนในภูมิภาคนี้รู้จักและใช้ประโยชน์จากมะนาวมาช้านาน

น้ำมะนาวนอกจากใช้ปรุงรสเปรี้ยวในอาหารหลาย ประเภทแล้ว ยังนำมาใช้เป็นเครื่องดื่ม ผสมเกลือ และน้ำตาล เป็นน้ำมะนาว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศทั่วโลก นอกจากนี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิดยังนิยมฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ เสียบไว้กับขอบแก้ว เพื่อใช้แต่งรส
ภายในผลมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยถึงร้อยละ 7 น้ำมะนาวจึงมีประโยชน์สำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาทำความสะอาด เครื่องหอม การบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) หรือน้ำยาล้างจาน ส่วนคุณสมบัติที่สำคัญ ที่ใช้มาแต่โบราณคือ ใช้ในการป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งเป็นปัญหาของนักเดินเรือมาช้านานอันเกิดจากการขาดวิตามินซีนั่นเอง

น้ำมะนาวมีคุณค่าในการเป็นสารให้ความเปรี้ยว ผิวมะนาวมีกลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหย
มะนาวเป็นเครื่องปรุงรสอาหารไทยที่ขาดเสียไม่ได้ เป็นองค์ประกอบรสเปรี้ยวหลักของน้ำพริก ส้มตำ ยำทุกชนิด ลาบและอาหารไทยอีกอีกมากมาย ต่างประเทศใช้มะนาวทั้งในอาหารคาวหวาน เช่น ในพายมะนาวของรัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา



การใช้งานทางยา
เปลือกผล เปลือกผลแห้งมีรสขม ช่วยขับลมได้ดี รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด นำเอาเปลือก ของผลสดมาประมาณครึ่งผล คลึงหรือทุบเล็กน้อยพอให้น้ำมันออก ฝานเป็นชั้นบางๆ ชงกับน้ำร้อนดื่มเวลามีอาการหรือหลังอาหาร 3 เวลา

น้ำคั้นผลมะนาว ใช้แก้ไอขับเสมหะ เนื่องจากกรดที่มีอยู่ในน้ำมะนาวกระตุ้นให้มีการขับน้ำลายออกมา ทำให้เกิดการชุ่มคอจึงลดอาการไอลงได้ ใช้ผลสดคั้นน้ำได้น้ำมะนาวเข้มข้น ใส่เกลือเล็กน้อย (หรือผสมน้ำผึ้ง 1 ส่วนน้ำมะนาว 3 ส่วน) แล้วจิบบ่อยๆ หรือจะทำเป็นน้ำมะนาวใส่เกลือและน้ำตาล ปรุงรส ให้เข้มข้นพอประมาณดื่มบ่อยๆ

ชาวฮังการีชงชาเติมน้ำผึ้งบีบมะนาว จิบแก้ไอ
เช้าหลังตื่นนอน ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว บีบมะนาว 1/4 ผล (หรือใส่เกลือเล็กน้อย) บรรเทาอาการท้องผูก และช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย

น้ำมะนาวใช้ในด้านความงาม ผลัดเซลล์ผิว ลดรอยด่างดำ ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้สักครู่ ล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วซับให้แห้ง ทำสัปดาห์ละครั้ง ผิวหน้าจะดูสดใส หรือใช้น้ำมะนาวผสมน้ำแช่อาบ

น้ำมะนาวผสมผงกำมะถัน ใช้ทาก่อนนอน แก้อาการกลาก เกลื้อน หิด
ใช้น้ำมะนาวทาที่ตุ่มคัน ทิ้งไว้ให้แห้ง ล้างน้ำสบู่แล้วเช็ดให้แห้ง แล้วใช้แป้งทาตุ่มคัน แก้น้ำกัดเท้า

ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์
สารดี-ลิโมนิน (d-limonin) เป็นสารที่ทำให้เกิดความขมในน้ำมะนาว น้ำมันผิวมะนาว (lime oil) พบมากบริเวณผิวเปลือกมะนาวมีสารดี-ลิโมนิน เป็นองค์ประกอบหลักเกินกว่าร้อยละ 90 พบว่าน้ำมันผิวมะนาว มีคุณสมบัติป้องกันและรักษามะเร็งหลายชนิด

ชาวตะวันตกทั่วไปมักดื่มน้ำส้ม หรือน้ำจากผลพืชตระกูลส้ม เช่น ส้มโอ หรือมะนาว ประกอบกับอาหารเช้า น้ำผลไม้เหล่านี้มีวิตามินซี และมีสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (flavonoid) ประกอบด้วยสารเฮสเพอริดิน (hesperidin) รูทิน (rutin) และนาริงจิน (naringin) และลิโมนิน เป็นฟลาโวนอยด์หลักของพืชตระกูลส้ม จากนี้จะเรียกสารกลุ่มนี้ว่าฟลาโวนอยด์ส้ม (citrus bioflavonoid)

สารกลุ่มฟลาโวนอย์ส้มนี้มีรายงานทางการแพทย์ตะวันตกว่าใช้ในการรักษามาลาเรีย โรครูมาติสม์เรื้อรังและโรคเกาต์ ใช้ในการป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ป้องกันการตกเลือดหลังคลอด และช่วยบรรเทาอาการระคายคอจากการติดเชื้อ

การกินฟลาโวนอยด์ส้มทำได้โดยกินส้ม ส้มโอ บีบมะนาวใส่เครื่องดื่ม และดื่มน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสด ถ้ากินผิวมะนาว ผิวส้มหรือเครื่องดื่มผิวมะนาวและส้มจะได้ฟลาโวนอยด์ส้มในปริมาณที่มากขึ้น

รักษาสมรรถนะร่างกาย
การศึกษาทางคลินิกตลอดปี พ.ศ.2505 พบว่านักกีฬายูโด ฟุตบอล บาสเก็ตบอล และกรีฑาที่ได้รับสารฟลาโวนอยด์ส้มติดต่อกันมีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อน้อยกว่า ถ้าบาดเจ็บก็ฟื้นตัวได้เร็วกว่า 2 เท่า
นอกจากนี้ การวิจัยทางคลินิกกับบุคคลที่มีปัญหาการไหลเวียนเลือด พบว่าบุคคลที่ได้รับฟลาโวนอยด์ส้มวันละ 1 กรัมติดต่อกัน 8 สัปดาห์มีการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น มีแรงกว่าเดิม มีอาการปวดน้อยและมีอาการเหน็บชากลางคืนน้อยลง

ลดคอเลสเตอรอลในเลือด
การแพทย์แผนจีนใช้มะนาวแห้งเป็นตัวยารักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดมานานแล้ว

อิตาลี การศึกษาสัตว์ทดลองในหนู พบว่าเมื่อให้สารเฮสเพอริดินซึ่งเป็นฟลาโวนอยด์หลักจากเปลือกในพืชตระกูลส้มกับหนูไขมันสูง มีผลเพิ่มไขมันที่ดี (เอชดีแอล-คอเลสเตอรอล) ลดไขมันไม่ดี (แอลดีแอล-คอเลสเตอรอล) ลดปริมาณไขมันรวมและไตรกลีเซอไรด์ ในหนูดังกล่าว และมีผลลดความดันเลือดและขับปัสสาวะในหนูความดันสูง

สหรัฐอเมริกา งานวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า ฟลาโวนอยด์ส้มสองกลุ่ม ได้แก่กลุ่มเฮสเพอริดิน และกลุ่มโพลีเมททอกซิเลตฟลาโวน (PMFs) มีฤทธิ์ลดคอเลสเตอรอลในพลาสม่าของสัตว์ทดลอง ซึ่งสนับสนุนผลของงานวิจัยในหนูถีบจักรของแคนาดา

แคนาดา การทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่า ฤทธิ์ดังกล่าวของฟลาโวนอยด์ส้มเกิดจากผลการกระตุ้นการทำงานของยีนรีเซปเตอร์ไขมันไม่ดี (แอลดีแอล) ในตับ ณ ตำแหน่งที่ควบคุมโดยสเตอรอล (sterol regulatory element, SRE)

สาธารณรัฐประชาชนจีน งานวิจัยพบว่า นาริงจิน และเฮสเพอริดินซึ่งเป็นฟลาโวนอยด์ส้มมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของยีนอะดีโพเนกทิน (adiponectin) ซึ่งเป็นยีนสำคัญในเมตาบอลิซึมของกลูโคสและไขมันที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพลัคอุดตันของหลอดเลือดและกระบวนการอักเสบ ผลการศึกษากล่าวว่าฟลาโวนอยด์ส้มทั้ง 2 ชนิดแสดงผลต้านการเกิดพลัคโดยกระตุ้น perovisome proliferator-activated receptor (PPAR) และยีนอะดีโพเนกทินในเซลล์ไขมันอะดีโพไซต์

นอกจากนี้ สารทั้งสองยังมีฤทธิ์เอสโทรเจนอย่างอ่อน มีผลต่อการสร้างไนตริกออกไซด์ในเซลล์ผนังหลอดเลือดผ่านการกระตุ้นรีเซปเตอร์ของเอสโทรเจน จึงมีฤทธิ์ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นเหตุให้สนับสนุนการกินมะนาว และฟลาโวนอยด์ส้มเพื่อลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงวัยทอง

กระตุ้นภูมิคุ้มกันและต้านมะเร็ง
อิหร่าน งานวิจัยพบว่า น้ำมะนาวเข้มข้น (concentrated lime juice, CLJ) มีฤทธิ์กระตุ้นเซลล์โมโนนิวเคลียร์ในระบบภูมิคุ้มกัน และโปรตีนในน้ำมะนาวเข้มข้นมีฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง
การศึกษาในห้องทดลองในมลรัฐเท็กซัสและแคลิฟอเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ส้มมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นพอประมาณ แต่ต่ำกว่าฟลาโวนอยด์ในพืชตระกูลขิง
มีบทความทางการแพทย์กล่าวว่า ฟลาโวนอยด์ส้มยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ปอด ช่องปาก กระเพาะอาหาร และมะเร็งเต้านมจากการทดลองในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลองหลายชนิด แต่ยังไม่พบผลการศึกษาทางคลินิก

แปลกใจจริงนะ
เจ้าผลไม้พื้นๆ เรียกมะนาวนี้มีคุณค่าซ่อนไว้อย่างไม่คาดคิด เมื่อทราบเช่นนี้คงจะต้องไปลองกินไก่ตุ๋นมะนาวดอง จะได้ฟลาโวนอยด์ส้มจากเปลือกของมะนาวด้วย แล้วเพิ่มการดื่มน้ำมะนาว (ชนิดหวานน้อย) แทนน้ำอัดลม เพื่อสุขภาพที่ดีและหลอดเลือดที่แข็งแรง

ลดระดับโคเลสเตอรอลด้วยอาหาร

การรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการเป็นรากฐานสำคัญของการป้องกัน และรักษาภาวะโคเลสเตอรอลสูงในเลือด ดังนั้นทุกท่านควรเข้าใจถึงแนวทางในการบริโภคอาหารอย่างถูกต้อง เพื่อควบคุมระดับโคเลสเตอรอลในเลือด และต้องมีความตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติให้ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง หลีกเลี่ยงโรคร้ายต่าง ๆ ซึ่งมีภาวะโคเลสเตอรอลสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหัวใจขาดเลือด

หลักการบริโภคอาหารที่สำคัญเพื่อป้องกันและลดระดับโคเลสเตอรอลสูงในเลือด
1. รับประทานโคเลสเตอรอลไม่เกินวันละ 300 มิลลิกรัม โคเลสเตอรอลมีเฉพาะในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้นมีมากในอาหารบางชนิด เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ มันสัตว์ สัตว์น้ำบางชนิด จึงควรหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารเหล่านี้ในปริมาณมาก

2. รับประทานอาหารในแต่ละวันซึ่งให้พลังงานรวมแล้วเพียงพอต่อการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยผู้ใหญ่ควรมีดัชนีความหนาของร่างกายประมาณ 20.0-24.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร โดยคำนวณจากน้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูง หน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง เช่น ถ้าใครมีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ส่วนสูง 1.5 เมตร จะได้ดัชนีความหนาของร่างกาย = 50/(1.5) 2 = 22.2 กิโลกรัมต่อตารางเมตร แสดงว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ

3. หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น กะทิ ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีมันติดมาก ๆ เช่น หมูสามชั้น เพราะกรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น

4. รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิก (linoleic acid) โดยสม่ำเสมอ ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 50 ในน้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด การรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิกประมาณร้อยละ 7-10 ของพลังงานที่ได้รับ (เช่น วันหนึ่งต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี่ ควรได้กรดไลโนเลอิกประมาณ 16-22 กรัม ซึ่งได้จากน้ำมันถั่วเหลืองประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ) จะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ เพราะมีการเปลี่ยนโคเลสเตอรอลอิสระ เป็นโคเลสเตอรอลไลโนเลอิกเพิ่มขึ้น ทำให้มีการเผาผลาญโคเลสเตอรอลที่ตับเพิ่มขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านมีโคเลสเตอรอลสูงในเลือดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด ท่านต้องรับประทานยาลดโคเลสเตอรอล และรักษาโรคต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุให้มีโคเลสเตอรอลสูงในเลือดควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารให้ถูกต้อง โภชนบำบัดจะช่วยเสริมผลการรักษาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และลดปริมาณการรับประทานยาลงได้

....ทำไมต้องหงุดหงิดด้วย.....

...หงุดหงิด...

.... เป็นอาการที่ไม่สามารถบอกสาเหตุได้...ว่าทำไมจึงเกิดอาการหงุดหงิด....โดยเฉพาะใกล้จะเป็นวันนั้นของเดือน....แต่เพราะคำว่า"หงุดหงิด" คำนี้...ทำให้มิวกับแฟนต้องไม่เข้าใจกัน...ที่จริงจะบอกว่าไม่เข้าใจกันก็ไม่ถูก...ต้องบอกว่า ทำให้พี่เค้าไม่เข้าใจมิวต่างหาก....อย่าว่าแต่เค้าเลย...ขนาดตัวมิวเองยังไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงได้หงุดหงิดจัง....ไม่ว่าจะเรื่องอะไร...เล็ก ๆ น้อยๆ ก็พาลหงุดหงิดไปซะหมด....รู้สึกแย่ๆ กับตัวเองเหมือนกันนะ...พยายามหาอะไรทำ....ร้องเพลงก็แล้ว...ฟังเพลงก็แล้ว...แต่มันก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี.....เมื่อคืนก่อนเลยนอนผลิตน้ำตาไปหลายกระบุงเพราะคำว่า"หงุดหงิด"คำเดียวจริงๆ....หงุดหงิดเลยพาลงอนแฟน...เรื่องไม่เป็นเรื่อง....ก็ทำให้มันเป็นเรื่อง....เออเก่งจริงเลยเรา....คิดไปเรื่อยเปื่อย....น้อยใจ...และความรู้สึกแย่ๆ อีกร้อยแปดพันประการ...มันมาจากไหนกันเนี่ย......ตอนแรกแอบกังวล....เกรงว่าจะมีน้อง...เพราะปจด.ไม่มาซักที...แต่ตอนนี้หายห่วง....อย่าเพิ่งมาเลยนะลูกนะ....ตอนนี้แม่ยังไม่พร้อมจะมีหนู....แต่ถ้าเค้าจะมาก็ห้ามไม่ได้ล่ะเนาะ....แต่ขอเตรียมตัวให้ดีๆ กว่านี้ก่อนเถอะนะจ๊ะ....หนึ่ง...ก็เรื่องการเงินล่ะ...จะเลี้ยงคนซักคนนึงนี่มันใหญ่หลวงมากเลยนะ....เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่จริงๆ...รู้สึกว่าพ่อแม่เรานี่เก่งจริงๆ...พวกท่านเลี้ยงเรามาจนโตขนาดนี้....บุญคุณท่วมหัวจริงๆเลย....สอง....เรื่องสุขภาพ...พอดีมิวมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกเชิงกราน....มิวเคยเป็นนักกีฬาบาสเกตบอล(สมัครเล่น)ตอนเป็นเฟรชชี่....ขณะแข่งขันก็เกิดอุบัติเหตุ คู่ต่อสู้วิ่งมาชนมิวล้มทั้งยืน...ทำให้ก้นกระแทกพื้นอย่างแรง...ตอนแรกรู้สึกเจ็บก็นึกว่าคงระบม....แต่พอผ่านไปอาทิตย์...สองอาทิตย์...ไม่หายซักที....เข้าอาทิตย์ที่สามเลยไปหาหมอตรวจเช็ค...พร้อมทั้งเอ๊กซ์เรย์....แม่เจ้า...คุณหมอถามว่า กระดูกเชิงกรานเคยแตกเหรอ....เราก็ทำหน้างง.... เปล่านี่คะ....คุณหมอ "แตกสิ...นี่ไงผลเอ็กซ์เรย์บอกว่ากระดูกกำลังเชื่อมกันอยู่".....มิว...ตกใจแบบเงียบๆ...(เป็นไงเนี่ย)...ตกใจ...แต่ไม่แสดงออกมั๊ง...แหะๆ.......สรุปเรากระดูกแตกเหรอเนี่ย...และนั่นก็เป็นปัญหา...เพราะกระดูกเชิงกรานเป็นกระดูกที่สำคัญในการรองรับการตั้งครรภ์เลยทีเดียว....ไม่รู้ว่ามิวจะมีปัญหามากมั๊ยนะ...แอบกังวล....สาม...ตอนนี้อยู่ไกลบ้าน...ถ้ามีน้องหนู...มิวก็ต้องดูแลเอง...ก็กังวลอีกแหละว่า ถ้าน้องหนูเป็นอะไรขี้นมา...แล้วคุณแม่มือใหม่อย่างมิวจะเข้าใจเค้ามั๊ยนะ....ถึงจะเข้าใจแล้วพาเค้าไปหาหมอ...คุณแม่ก็คุยกับคุณหมอไม่รู้เรื่องอยู่ดี....โอ้ว....นี่ก็อาจจะเป็นปัญหาได้....ถ้าอยู่เมืองไทย...อย่างน้อยก็มีคุณแม่ที่ท่านมีประสบการณ์การเลี้ยงเรามาแล้วช่วยดูแล....เอาเป็นว่า แค่สามข้อนี้ก็หนักหนาสาหัสพอควรละนะ.......แต่ถ้าวันไหนพร้อม...ก็ขอให้ฟ้าเห็นใจ....ประทานเจ้าตัวน้อยมาให้ด้วยเถอะนะ...นี่ก็แอบกังวล....กลัวว่าพอเราพร้อม...แต่เค้าไม่มาเกิดเนี่ยสิ....เฮ้อ....แล้วไหงวกมาเรื่องความกังวลไปได้ล่ะ....กะจะมาบ่นเรื่อง หงุดหงิดนะเนี่ย....อ่อ...เพราะความหงุดหงิด....เพราะปจด.ไม่มา....เลยเกิดความกังวลไปหลายๆเรื่อง....นั่นปะติดปะต่อกันไปได้นะเรา......ไม่รู้ล่ะ...สรุปว่าอย่างนี้ละกัน....ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเรื่องไม่เป็นเรื่องจนจบนะคะ........

อาหารบำรุงเส้นผม

เส้นผมไม่เพียงช่วยให้เรามีรูปลักษณ์ที่ดี แต่คุณสมบัติที่สำคัญคือช่วยป้องกันหนังศีรษะของคนเราพ้นจากอันตรายจากแสงแดด ปัจจุบันเราทราบกันดีอยู่แล้วว่าแสงแดดนั้นเป็นอันตรายต่อผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น และเกิดโรคมะเร็งของผิวหนังได้ง่าย แต่คุณทราบหรือไม่ว่าอาหารที่เรากินอยู่ทุกวันมีผลสะท้อนต่อผมได้เช่นเดียวกับผิวหนังเหมือนกัน

เพราะผมมีสารประกอบของสารอาหารบางอย่าง จึงขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะให้สารอาหารแก่ผมอย่างไร


เส้นผมได้รับอาหารจากเลือดไปบำรุง ถ้าเลือดนั้นมีสารอาหารที่สำคัญสำหรับเส้นผม ผมก็จะเจริญงอกงาม รากผมก็จะยึดศีรษะแน่น จะร่วงก็ต่อเมื่อถึงคราวต้องร่วง และสามารงอกได้ทันกัน นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นนักโภชนาการได้เคยทำการทดลองค้นคว้าเรื่อง อาหารบำรุงผม โดยได้ทำการทดลองกับสัตว์เลี้ยงสองกลุ่มคือ กลุ่มหนึ่งให้กินอาหารที่มีแร่ธาตุไอโอดีนคืออาหารทะเล ผักและผลไม้ ส่วนกลุ่มที่สองให้กินอาหารที่มีแต่แป้งและเนื้อสัตว์ ซึ่งจะได้คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนเท่านั้น ปรากฏว่าสัตว์ทดลองกลุ่มที่หนึ่งมีขนดกดำสวยเป็นเงา ส่วนกลุ่มที่สองร่างกายอ้วนแข็งแรง แต่ขนสั้น ทั้ง ๆ ที่มีพ่อแม่เดียวกัน


อาหารที่มีสารไอโอดีนมากและหาง่ายในบ้านเราได้แก่ อาหารทะเลต่าง ๆ เช่น ปลา กุ้ง และอาหารที่ปรุงด้วยเกลือเสริมไอโอดีน


อาหารที่มีธาตุซิลิคอนคือ ข้าวที่ไม่ได้ขัดสี ข้าวกล้อง ข้าวแดง รองลงมาได้แก่ แตงกวา สตรอเบอรี่ หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำปลี ผักกาดหอม ผักโขม


ส่วนอาหารที่มีธาตุกำมะถันได้แก่ กะหล่ำปลี หัวผักกาดขาว หัวหอมใหญ่ หัวหอมแดง กะหล่ำดอก ผักกาดแดง แอปเปิ้ล ผักเหล่านี้หาได้ไม่ยาก และสามารถกินได้ทั้งสดและหุงต้ม


ส่วนสาเหตุของผมร่วงนั้นมีหลายอย่าง การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาตามธรรมชาติของหญิงหลังคลอดบุตร หลังเป็นไข้ไทฟอยด์ การขาดอาหาร การใช้ยารักษาโรคมะเร็ง เชื้อรา เชื้อซิฟิลิส หรือเกิดจากความผิดปกติของเส้นผมเอง เช่น มีรอยหักกลาง และแม้แต่ความเครียดและการตกใจอย่างรุนแรง ก็อาจทำให้ผมร่วงได้ ในกรณีที่มีปัญหาเรื่องผม ควรพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำอย่างถูกต้อง ไม่ควรหาซื้อยามาใช้เอง


การปฏิบัติตนอย่างง่าย ๆ คือ ควรใช้หวีหรือแปรงที่ไม่แหลมคม ไม่ควรแปรงผมย้อนหลัง หรือยีผมแรง ๆ อย่ารัดผมหรือถักเปียจนแน่นเกินไป ควรใช้แชมพูอ่อน ๆ และบำรุงด้วยครีมนวดผม หรือปรับสภาพเส้นผม หากต้องการใช้สารเคมี เช่น ยาย้อมผม ยากัดสีผม ก็ควรใช้เมื่อจำเป็นและไม่ควรใช้บ่อยนัก


เส้นผมจะดูสวยเป็นเงางามได้ก็ต่อเมื่อได้รับการดูแลบำรุงรักษาทุกวัน รวมไปถึงการกินอาหารที่ดี ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และพยายามทำจิตใจให้แจ่มใสร่าเริง เพื่อช่วยลดความเครียด

กินอย่างไรให้เป็นอัจฉริยะ

อาหารที่คุณกินมีส่วนช่วยเสริมสร้างพลังสมอง ไม่เชื่อลองกินอาหารตามคำแนะนำของเราดูสิ รับรองคุณจะฉลาดเป็นกรดเชียวล่ะ
คุณกินครัวซองท์กับกาแฟดำเป็นอาหารเช้า แล้วตามด้วยบิสกิตช็อกโกแลตอีก 2 ชิ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ยังไม่ถึงมื้อเที่ยง ท้องก็ร้องอีกแล้ว บางครั้งคุณรู้สึกว่าตัวเองมีสมาธิและความจำสั้นเหมือนปลาทอง ไม่ต้องแปลกใจหากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นกับคุณ นั่นเป็นเพราะคุณไม่ได้รับสารอาหารจำเป็นที่ช่วยในการบำรุงสมอง

“การที่คนส่วนใหญ่จิตใจและสมองไม่ปลอดโปร่ง สดชื่น เป็นเพราะไม่ได้กินอาหารที่เหมาะสม” แพทริค โฮลฟอร์ด นักโภชนาการกล่าว “สมองของเราประกอบขึ้นจากโมเลกุลที่ได้จากอาหาร อากาศ และน้ำ ดังนั้นอาหารที่เรากินย่อมส่งผลต่อการทำงานของสมอง”

หากต้องการเสริมสร้างสมอง คุณต้องรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ รวมถึงของว่างระหว่างวัน อย่า...อย่า...งดอาหารเช้าเด็ดขาด เพราะจากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า การกินอาหารเช้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยให้ทำงานผิดพลาดน้อยลงและความจำดีขึ้น

ขณะที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริสตอลพบว่า การกินอาหารเช้าที่มีประโยชน์สามารถช่วยป้องกันอาการซึมเศร้าและลดความเครียดได้ อาหารจำพวกเบอร์เกอร์ บิสกิต เค้ก และขนมขบเคี้ยวไม่ช่วยให้คุณเป็นอัจฉริยะ จงหลีกเลี่ยง

อาหารสำหรับสมองที่คุณรัก
อาหารเช้า อาหารเช้าช่วยให้สมองปลอดโปร่ง คุณจึงทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว เมนูแนะนำ : ไข่ดาวน้ำซึ่งอุดมด้วยโอเมก้า 3 กับขนมปังธัญพืชปิ้ง 1 แผ่น ตามด้วยน้ำส้มคั้นสดๆ 1 แก้ว
อาหารว่าง หลีกเลี่ยงอาหารหวาน เลือกกินอาหารว่างที่ทำให้สมองแล่น จำพวกเมล็ดธัญพืชและผลเบอร์รี่ที่มีวิตามินและคุณค่าทางอาหารสูง เมนูแนะนำ : โยเกิร์ตไขมันต่ำถ้วยเล็กๆ 1 ถ้วย เมล็ดธัญพืช 1 ช้อนชา

อาหารกลางวัน เนื้อไก่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนซึ่งช่วยในการทำงานของระบบประสาท ขณะที่เมล็ดพืชต่างๆ ก็อุดมไปด้วยไขมันจำเป็นที่ช่วยให้ความคิดลื่นไหล เมนูแนะนำ : สลัดไก่ย่างโรยด้วยเมล็ดธัญพืชราดน้ำมันมะกอกและแต่งหน้าด้วยมะนาว

อาหารเย็น น้ำมันปลา เช่นน้ำมันปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 อยู่มาก อย่าลืมเพิ่มคุณค่าวิตามินด้วยการรับประทานผัก และคาร์โบไฮเดรตจำพวกข้าวซ้อมมือ เมนูแนะนำ : ข้าวซ้อมมือกับปลาแซลมอนย่างและผักนึ่ง หรือผัดเต้าหู้กับข้าวซ้อมมือ

ใช้หัวใจเลือกอนาคต

ฟังหัวใจของตัวเองเมื่อถึงเวลาต้องเลือกอาชีพ
แล้วคุณจะได้ใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่กับสิ่งที่คุณรัก

ข้อเท็จจริง " โดยเฉลี่ยแล้ว คนเราทำงานวันละ 8 ชั่วโมง
มีอายุการทำงานอย่างน้อย 40-45 ปี นับเป็นชั่วโมงแล้วโดยรวมประมาณ
80,000 ถึง 90,000 ชั่วโมง

การทำมาหาเลี้ยงชีพนับเป็นกิจกรรม ที่คนเรากระทำมากที่สุด ( ยกเว้นการนอน สำหรับบางคน)

ข้อคิด " ถ้าคุณเลือกทางสายอาชีพที่คุณไม่ชอบ คุณจะต้องอยู่กับมัน
แปดหมื่นชั่วโมง ในขณะที่คุณทำในสิ่งที่ตนรัก ในชีวิตนี้จะเรียกว่าคุณไม่ต้องทำงานเลย และเป็นที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนที่ทำสิ่งที่ตนรัก ก็จะประสบความสำเร็จ มากกว่าคนที่ทำสิ่งที่ตนไม่ชอบ

การทำในสิ่งที่ตนรักทำให้ศักยภาพในตัวของคุณได้มีโอกาสแสดงออกมาได้เต็มที่

จากหนังสือ ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้ CONDUCT YOUR DREAM หนอนหนังสือหลายคนคงเคยผ่านตา ที่ต้องซื้อมาอ่านที่ออสเตรเลีย เมื่อตอนกลับไปเมืองไทยช่วงสงกราณต์ที่ผ่านมาเพราะเคยได้ยินเรื่องราวของบุคคลนี้ บัณฑิต อึ้งรังษี เคยผ่านโสดประสาทตัวเองมาบ้าง

น่าสนใจ เตะตา ตรงพิมพ์ครั้งที่ ๑๐ อ่านแล้วมาต่อยอดความคิดของตัวเอง ทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าเป้าหมายหลาย ๆเป้าหมาย (ที่แม้จะดูไกลจนเกินไขว่คว้า) ของตัวเราเอง คงจะได้นำมาปัดฝุ่น และนำไปต่อยอดงานและสิ่งที่ใจรักของชีวิต ให้บรรลุเป้าหมาย

วันดี ๆ ...ที่มีอยู่

การมีชีวิตที่ยอดเยี่ยมมีความสุข
ไม่ได้แปลว่าต้องมีแต่สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
แต่คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็สามารถรู้ความจริง
มีความสุข มีชีวิตที่เติบโต มีพลัง มั่นคง เป็นอิสระในทุกสถาณการณ์

เราเรียนรู้ได้ ทั้งจากเรื่องที่ดี และเรื่องร้ายในชีวิต

ถ้าเรามีชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย ซังกะตาย ทำ-มา-หา-กิน-ไปวัน ๆ
เราก็เบื่อหน่ายตัวเอง เบื่อทุกอย่างรอบตัว คนรอบตัวก็เบื่อเรา
เพราะเราไม่มีโอกาส หยุดมองชีวิตด้วยใจที่สงบ มีกำลัง
จนเห็นคุณค่าที่เราทำแต่ละอย่างในชีวิต

เราไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อย รีบตื่น รีบกิน
รีบไปทำงาน รีบเรียน รีบแต่งงาน รีบสืบพันธุ์ แล้ววันหนึ่งก็พบว่า
......กำลังรีบตาย.....

เราอาจมีข้ออ้างสารพัดกับภาระที่เราแบก ที่ทำให้เราต้องรีบตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ถ้าพิจารณาดูดี ๆ สิ่งที่เราแบกไว้ล้วนเป็นสิ่งที่เราหามาใส่ชีวิต
ตั้งเงื่อนไขให้ชีวิต มีความคิด ความเห็น ที่เรายึดถือเป็นมาตรฐาน เป็นข้อจำกัดกักขังตัวเราเอง

เราคิดว่าคนอื่นทำได้เพราะเขามีในสิ่งที่เราไม่มี เราไม่รู้ว่าสิ่งเดียวที่ขังเราไว้
ในที่ที่เราไม่อยากอยู่ ไม่อยากเป็น คือความคิดของเราเอง และสิ่งเดียวที่จะทำให้เราได้ในสิ่งที่เราอยากเป็น อยากทำ อยากมี คือความคิดของเราเอง

คนแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน มีมากบ้างน้อยบ้างไม่เท่ากันในแต่ละเรื่อง
แต่เราทุกคนมีทุกอย่างพอเพียงที่จะเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตัวเอง
เพื่อชีวิตที่งดงาม มีคุณค่าอย่างที่ควรจะเป็นมุมมองที่แตกต่างอีกมุมหนึ่ง ของหนังสือ " เข็มทิศชีวิต II "ตอน กฏแห่งเข็มทิศ

อ่านแล้วก็เหมือนเข็มทิศที่คอยนำทางชีวิต ทำให้ได้ข้อคิดดี ๆ นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีทีเดียว.......หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน หยุดคิด กับชีวิตความเป็นอยู่ชั่วขณะ

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

"รักแท้..แพ้ระยะทาง" ...จริงหรือ?!?

ความห่างเป็นปัจจัยที่อันตรายที่สุด ทำไมถึงกล่าวเช่นนี้?

การ ที่คนสองคนคบกัน มันก็ย่อมเหมือนลิ้นกับฟันที่จะต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา แต่เมื่อคุณอยู่ไกลกันแล้ว มันง่ายมากที่จะทำให้ความสัมพันธ์กับคนรักต้องระหองระแหง หากคุณทั้งสองคนไม่มั่นคงเพียงพอ

ถ้าถามว่าอยู่ด้วยกันแล้วจะไม่กระทบกระทั่งกันเลยหรือ คำตอบคือ ไม่ใช่

หาก แต่ว่าถ้าคุณอยู่ด้วยกัน คุณคงทำอะไรได้มากกว่าอยู่ไกลกันเป็นแน่ เพราะถ้าคุณต้องอยู่ห่างกันคนละประเทศ สิ่งที่คุณจะทำได้คือ โทรศัพท์.. คุณจะทำได้แค่พูดและรับฟัง โต้ตอบการสนทนา แต่คุณไม่สารมารถรับรู้ืถึงอารมณ์ หรืออวัจนะภาษากริยา สีหน้า ของฝ่ายตรงข้ามเลย และแน่นอน คุณก็ไม่สามารถใช้มันได้เช่นกัน (คุณสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ของฝ่ายตรงข้ามได้จากน้ำเสียง แต่มันเทียบกับการคุยกันซึ่งๆ หน้าไม่ได้เลย) ซึ่งในบางครั้งการมีปากเสียงกันด้วยเรื่องเล็กๆ อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เมื่อคุณอยู่ไกลกัน


นอกจากเรื่องของการกระทบกระทั่งกัน คุณมั่นใจได้อย่างไรว่า ความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะความไกลกัน "ระแวง"

คำ นี้คงผุดขึ้นในใจของคุณเมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ใช่แล้ว..ต่อให้รักกันขนาดไหน ไว้ใจกันแค่ไหนแต่เมื่ออยู่ไกลกัน สิ่งนี้มันต้องเกิดขึ้นในใจของคุณไม่มากก็น้อย หรือไม่จริง?? หากแต่ว่าคุณทั้งสองคนจะสามารถให้ความมั่นใจต่อกันได้มากแค่ไหน ถ้าคุณเป็นคนที่มั่นคงในความรักของคุณ บางครั้งคุณต้องบอกให้คนรักของคุณทราบ เพราะถ้าไม่บอก ไม่ให้ความมั่นใจกับอีกฝ่ายแล้ว คนรักของคุณจะทราบได้อย่างไร นี่เป็นอีกกรณีหนึ่งคือ การไม่พูด

ต่างคนต่างคิดกันเอง เข้าใจกันไปคนละอย่างจากการที่คิดว่า "เค้าน่าจะรู้น่า" แต่จะบอกให้ว่าสำหรับบางเรื่องนั้น "ไม่ใช่!!" ฉะนั้น การพูดกันคือสิ่งที่ดีที่สุด ความรู้สึกที่เคยมีให้ การให้อภัย การมองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ความคิดถึง ที่เคยมีให้ครั้งเมื่ออยู่เคียงข้างกัน อาจจะถูกบั่นทอนลงได้ เนื่องจากระยะทาง และความห่างกัน ความรักความทุ่มเทที่เคยมีให้ ก็จะลดน้อยลงก็เป็นได้


การรักษาระยะห่างให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าอยู่ใกล้กันตลอด อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกที่จะป้องกันสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้

แต่ มันจะทำได้มากแค่ไหน มันก็ต้องขึ้นอยู่กับคนทั้งสองคน บางครั้งการแสดงออกถึงการให้ความสำคัญกับอีกฝ่าย ก็เป็นสิ่งสำคัญ มันก็เป็นเหมือนกับการให้ความมั่นใจกับคนรักของคุณ การบอกรัก การกล่าวคำว่า คิดถึง บางคนมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น

ใน เมื่อคบกันแล้ว ก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ว่า.. เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องบอกหรอก.. หากคุณเคยรู้สึกหัวใจพองโต ยามเมื่อคนที่คุณรักบอกรักหรือคิดถึงคุณบ้าง..

และ คุณมีความสุขเมื่อได้ยินเช่นนั้น แน่นอนว่าอีกฝ่ายคงจะรู้สึกไม่ต่างอะไรจากคุณ หากคุณได้บอกกับเค้า และหมั่นรดน้ำต้นรักของคุณ มากกว่าปล่อยให้มันแห้งตายเถอะนะ คุณจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง